อายุที่มากขึ้นก็มาพร้อมกับปัญหาความหย่อนคล้อย และริ้วรอยแห่งวัย แต่อีกหนึ่งในปัญหากวนใจที่หลายๆ คนเจอ คือ ปัญหาถุงใต้ตาบวม ซึ่งเป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญใจ และกระทบต่อความมั่นใจเป็นอย่างมาก บทความนี้จึงอยากพามาทำความรู้จักกับปัญหาถุงใต้ตาบวมว่าเกิดขึ้นจากอะไร มีวิธีการแก้ถุงใต้ตาบวมได้อย่างไร ควรรักษาที่ไหน รวมไปถึงวิธีลดถุงใต้ตาแบบธรรมชาติ ซึ่งสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในทันที พร้อมแล้วตามไปอ่านกันได้เลย

ถุงใต้ตาบวม คืออะไร

โดยปกติแล้ว ร่างกายของมนุษย์จะมีถุงไขมันอยู่รอบๆ ดวงตา ทั้งบริเวณเบ้าตา เปลือกตาบน และเปลือกตาล่าง โดยในช่วงวัยหนุ่มสาว กล้ามเนื้อและผิวหนังยังคงมีความแข็งแรง เต่งตึง ทำให้อาจสังเกตเห็นถุงไขมันเหล่านี้ได้ไม่ชัดเจน แต่เมื่อความแข็งแรงของผิวหนังเริ่มลดลง หรือร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะด้วย วัยที่เพิ่มขึ้น โรคภัยไข้เจ็บ พฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือด้วยสาเหตุทางพันธุกรรม กล้ามเนื้อรอบๆ ดวงตาก็จะเกิดความหย่อนคล้อย และทำให้ถุงไขมัน โดยเฉพาะในบริเวณใต้ตาล่างนั่น โป่งนูน และบวมปูด ทำให้เกิดปัญหาถุงใต้ตาบวม (Eye Bags) ตามมานั่นเอง

ทำความเข้าใจปัญหาถุงใต้ตาบวม

อาการถุงใต้ตาบวมเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ ปัญหาถุงใต้ตาแท้ และปัญหาถุงใต้ตาเทียม ซึ่งแต่ละแบบอาจต้องใช้เทคนิคในการรักษาถุงใต้ตาที่แตกต่างกันออกไป โดยมีข้อแตกต่าง ดังนี้

ปัญหาถุงใต้ตาแท้

ปัญหาถุงใต้ตาแท้ คือ ปัญหาของถุงใต้ตาที่หย่อนคล้อย และโป่งนูนอย่างถาวร ต้องรักษาด้วยการตัดถุงใต้ตา ใช้สารเติมเต็ม หรือใช้เทคนิคศัลยกรรมถุงใต้ตาอื่นๆ เข้ามาเพื่อแก้ปัญหา มักเกิดจาก 2 สาเหตุหลัก คือ

สาเหตุทางกรรมพันธุ์

บางคนอาจมีถุงไขมันรอบดวงตาที่เยอะโดยธรรมชาติ หรืออาจเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของต่อมไร้ท่อ ซึ่งทำให้มีไขมัน และของเหลวมาสะสมรอบดวงตามากเกินไป

การเสื่อมวัยของร่างกาย

เมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังรอบๆ ดวงตาของคนเราจะสูญเสียความชุ่มชื้น และความแข็งแรง ส่งผลให้ถุงไขมันใต้ดวงตาเกิดการหย่อนคล้อย และสังเกตเห็นได้ชัดเจนขึ้น

ปัญหาถุงใต้ตาเทียม

ปัญหาถุงใต้ตาเทียม คือ ปัญหาถุงใต้ตาบวมที่เกิดขึ้นชั่วคราว อาการบวมสามารถดีขึ้นเองได้หลังจากทำการรักษาต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาการใต้ตาบวม โดยปัญหาถุงใต้ตาเทียมมักเกิดจาก 3 สาเหตุหลัก คือ

อาการแพ้

ไม่ว่าจะเป็นแพ้อาหาร เกสรดอกไม้ หรือ การแพ้ฝุ่นควัน อาจทำให้เกิดการระคายเคือง และทำให้เกิดการบวม หรืออักเสบรอบดวงตาได้

พฤติกรรมที่เสี่ยงต่อสุขภาพ

พฤติกรรมในชีวิตประจำวันบางประการ เช่น การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้สายตามากเกินไป หรือการขยี้ตาแรงๆ ล้วนทำให้เกิดปัญหาใต้ตาบวมได้เช่นกัน

อาการเจ็บป่วยบางชนิด

ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ไทรอยด์เป็นพิษ หรือ โรคหอบหืด อาจส่งผลให้เกิดอาการถุงใต้ตาบวมได้เช่นกัน

ถุงไขมันใต้ตา VS ร่องน้ำตา แตกต่างกันอย่างไร

ถุงไขมันใต้ตา VS ร่องน้ำตา แตกต่างกันอย่างไร

ปัญหาถุงใต้ตาบวม และร่องน้ำตาเป็นปัญหาที่อยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียงกัน หลายคนจึงเกิดความสับสน และเข้าใจผิดว่าเป็นปัญหาเดียวกัน แต่ในทางการแพทย์ถือว่าเป็นปัญหาที่อยู่คนละส่วน และต้องใช้วิธีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป

ร่องน้ำตา เป็นร่องลึกบนผิวหน้าที่เกิดขึ้นจากการสลายตัวของกระดูกเบ้าตา และการหย่อนคล้อยของเส้นเอ็นในบริเวณใกล้เคียง ส่งผลให้เกิดร่องลึกจากบริเวณหัวตา ไปจนถึงใต้ตา หรือบริเวณแก้ม ซึ่งความลึก และความชัดของร่องก็จะแตกต่างออกไปในแต่ละบุคคล และจะเพิ่มมากขึ้นตามอายุ

ในขณะที่ปัญหาถุงใต้ตาบวม เกิดจากการเสื่อมสภาพของกล้ามเนื้อรอบดวงตา ซึ่งทำให้ถุงไขมันที่อยู่ใต้เปลือกตาล่างหย่อนคล้อย และสังเกตเห็นได้ชัดขึ้น โดยทั้งสองปัญหานี้ อาจเกิดขึ้นเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง หรืออาจเกิดขั้นพร้อมๆ กันก็ได้ ซึ่งวิธีการรักษาถุงใต้ตา และร่องน้ำตาที่ดีที่สุด คือ การเข้ามาปรึกษากับศัลยแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อเข้ารับการรักษาที่เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล

ถุงใต้ตาบวมส่งผลเสียอย่างไร

แม้ว่าปัญหาถุงใต้ตาบวม อาจไม่ได้มีผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรง แต่ก็ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ และความมั่นใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตาบวมตั้งแต่อายุยังน้อย ผู้ที่ต้องประกอบอาชีพที่ต้องใช้หน้าตา หรือติดต่อประสานงานกับผู้คน เพราะทำให้แลดูแก่กว่าวัย เหนื่อยล้า พักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้หน้าตาดูไม่สดใส ดูอ่อนเพลียตลอดเวลา และกระทบต่อบุคคลิกภาพโดยรวม

การเลือกวิธีรักษาถุงใต้ตาอย่างเหมาะสม

การรักษาปัญหาถุงใต้ตาบวม สามารถทำได้หลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับกรณีของแต่ละบุคคล โดยการรักษาถุงใต้ตาแบ่งออกเป็น 3 แนวทางหลัก ดังนี้

การรักษาปัญหาถุงใต้ตาด้วยวิธีธรรมชาติ

วิธีลดถุงใต้ตาด้วยวิธีธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตาเทียม เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ การขยี้ตาแรงๆ และการใช้สายตามากเกินไป เป็นต้น การรักษาถุงใต้ตาด้วยวิธีธรรมชาติ เป็นการรักษาในเชิงประคับประคอง และช่วยชะลอความหย่อนคล้อยของถุงใต้ตาได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาแบบถาวร จึงไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตาบวมที่เกิดจากกรรมพันธุ์ ข้อดีของวิธีธรรมชาติ คือ เป็นวิธีการง่ายๆ ที่สามารถทำเองได้ที่บ้าน และมีราคาไม่แพง โดยมีวิธีการดังนี้

การใช้แตงกวา แตงกวาเป็นผักที่มีความชุ่มชื้นสูง และยังมีกรดแอสคอบิค (Ascorbic Acid) ซึ่งมีฤทธิในการช่วยลดอาการบวม สามารถนำมาหั่นแว่น แล้วแช่เย็น และนำมาประคบที่ดวงตาประมาณ 15 นาที ก็จะช่วยลดอาการบวมรอบดวงตาได้เป็นอย่างดี แต่ควรทำความสะอาดแตงกวาก่อนนำมาใช้งาน เพื่อป้องกันการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นได้
การนวดลดถุงใต้ตาบวม เริ่มด้วยการล้างมือ และใบหน้าให้สะอาด ใช้นิ้วกลาง และนิ้วนางนวดอายครีมเบาๆ ที่บริเวณถุงใต้ตา โดยลากนิ้วจากหัวตาไปหางตา และนวดย้อนกลับไปมาประมาณ 4-5 รอบ ก็จะช่วยลดอาการใต้ตาบวมได้ในระดับหนึ่ง
เกลือชุบสำลี นำเกลือประมาณครึ่งช้อนโต๊ะไปละลายในน้ำอุ่นแล้วชุบสำลี แปะทิ้งไว้บริเวณใต้ดวงตาประมาณ 10 นาทีเป็นประจำ ก็จะช่วยลดอาการใต้ตาบวม และช่วยลดความหมองคล้ำใต้ดวงตาได้
ไข่ขาว ไข่ขาวมีคุณสมบัติในการช่วยยกกระชับผิว จึงสามารถนำมาใช้เพื่อลดความหย่อนคล้อยของถุงใต้ตา โดยนำไข่ขาวมาทาบริเวณถุงใต้ตา และทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาด ควรระวังไม่ให้ไข่ขาวเข้าตาเพราะอาจทำให้ดวงตาเกิดการระคายเคือง
ถุงชา หรือผ้าชุบน้ำอุ่น ในบางกรณี อาการถุงใต้ตาบวมอาจเกิดจากเส้นเลือด หรือของเหลวที่สะสมอยู่รอบๆ ดวงตา การใช้ถุงชา หรือผ้าชุบน้ำอุ่นประคบทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที สามารถช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และช่วยลดอาการบวมรอบๆ ดวงตาลงได้
การรับประทานอาหารที่ดี ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ และลดการทานอาหารที่มีโซเดียมสูง เพราะโซเดียมจะทำให้ร่างกายเก็บน้ำไว้ใต้ผิวหนังมากขึ้น และทำให้ร่างกายดู “บวมน้ำ” นั่นเอง
ออกกำลังกาย การออกกำลังกายเป็นการช่วยกำจัดของเสียที่อยู่ในร่างกาย ช่วยชะลอวัย และคงความแข็งแรงของมวลกล้ามเนื้อในร่างกาย ส่งผลให้ผู้ที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แลดูอ่อนวัยกว่าคนในวัยเดียวกันที่ไม่ได้ดูแลสุขภาพ
พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ จะทำให้ร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้อย่างเต็มที่ และยังทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตเกิดการติดขัด ส่งผลให้เกิดอาการใต้ตาบวม ตาคล้ำ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ตาหมีแพนด้า” แต่หากนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอแล้ว ปัญหาถุงใต้ตาบวม และใต้ตาหมองคล้ำก็จะหายดีขึ้นด้วยเช่นกัน

การรักษาปัญหาถุงใต้ตาด้วยวิธีการเติมเต็ม

การรักษาปัญหาถุงใต้ตาด้วยวิธีการเติมเต็ม

การรักษาปัญหาถุงใต้ตาด้วยวิธีการเติมเต็ม คือ การฉีดสารเติมเต็มเข้าไปยังบริเวณเปลือกตาล่าง เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น อิ่มน้ำ และอำพรางให้ถุงใต้ตาดูตื้นขึ้น โดยเทคนิคที่นิยมนำมาใช้มีดังนี้

การเติมฟิลเลอร์ใต้ตา

ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มผิวกลุ่มไฮยาลูโรนิคแอซิด (Hyaluronic Acid) หรือ HA ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายมนุษย์สามารถผลิตขึ้นได้เองตามธรรมชาติ พบได้ในบริเวณชั้นผิวหนัง และบริเวณข้อต่อ มีลักษณะคล้ายเจลสีใส นิยมนำมาใช้เป็นสารเติมเต็มในการช่วยลดริ้วรอยตามจุดที่ต้องการ เช่น การนำมาเติมที่บริเวณเปลือกตาล่างเพื่อรักษาอาการถุงใต้ตาบวม

ข้อดี เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนทันทีหลังทำ ไม่มีอาการบวมช้ำ และไม่ต้องพักฟื้น
ข้อเสีย ไม่ใช่วิธีการรักษาถุงใต้ตาบวมแบบถาวร ผลลัพธ์ในการรักษาอาจอยู่ได้เพียง 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้

การเติมไขมันใต้ตา

การเติมไขมันใต้ตา เป็นเทคนิคที่นำไขมันจากส่วนหน้าท้อง หรือต้นขาของผู้เข้ารับการรักษาถุงใต้ตา มาแยกเป็นของเหลว และฉีดเข้าไปยังบริเวณเปลือกตาล่าง เพื่อทำการแก้ไขปัญหาถุงใต้ตาบวม โดยสามารถช่วยเติมเต็มความชุ่มชื่น สร้างเซลล์ผิวที่สลายตัว และอำพรางถุงใต้ตาให้ดูตื้นขึ้นได้เช่นเดียวกับการใช้ฟิลเลอร์

ข้อดี ไม่ต้องรับความเสี่ยงของอาการแพ้ เพราะเป็นไขมันของร่างกายตนเอง
ข้อเสีย มีความยุ่งยาก เพราะต้องมีการดูด และเตรียมไขมันให้พร้อมก่อนทำหัตถการ นอกจากนี้ บริเวณที่ทำการดูดไขมันมักมีรอยแผล และไม่ใช่วิธีการรักษาที่ให้ผลลัพธ์แบบถาวร เพราะผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 1 ปี หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละบุคคล

การรักษาปัญหาถุงใต้ตาด้วยวิธีการศัลยกรรม

การรักษาปัญหาถุงใต้ตาด้วยวิธีการศัลยกรรม

การผ่าตัดถุงใต้ตาโดยศัลยแพทย์ เป็นวิธีการรักษาถุงใต้ตาที่ต้นเหตุ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาถุงใต้ตาบวมที่ได้ผลลัพธ์แบบถาวร มีเทคนิคการผ่าตัดที่นิยม 2 รูปแบบ ดังนี้

การผ่าตัดถุงใต้ตาแบบไร้แผล

การผ่าตัดถุงใต้ตาแบบไร้แผล เป็นเทคนิคที่ทำการเปิดแผลขนาดเล็กด้านในเปลือกตา และทำการดูดไขมันส่วนเกินบริเวณเปลือกตาล่างออก เพื่อแก้ไขปัญหาถุงใต้ตาบวม แผลที่ทำการเปิดมีขนาดเล็กมาก จึงไม่ต้องมีการเย็บ หรือตัดไหม และแผลสามารถหายเองภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์

ข้อดี ไม่ต้องพักฟื้น ไม่เห็นรอยแผลในการผ่าตัดเลย เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุน้อย และถุงใต้ตายังไม่ได้หย่อนคล้อยมากจนเกินไป ให้ผลลัพธ์แบบถาวร
ข้อเสีย มีอาการบวมช้ำเพียงเล็กน้อยหลังการผ่าตัด

การผ่าตัดถุงใต้ตาแผลด้านนอก

การผ่าตัดถุงใต้ตาแผลด้านนอก เป็นเทคนิคในการผ่าตัดถุงใต้ตาออก โดยซ่อนแผลไว้ที่บริเวณขอบขนตาล่าง โดยอาจทำร่วมกับการจัดเรียงไขมันใต้ตาหรือร่องน้ำตา การยกกระชับใบหน้า หรือการเย็บกระชับกล้ามเนื้อรอบๆ ดวงตา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาถุงใต้ตาบวมแบบถาวร และผู้มีหนังตาและไขมันส่วนเกินเยอะ

ข้อดี ทำร่วมกับหัตถการอื่นๆ ได้ ตามความต้องการของผู้เข้ารับการรักษา และดุลยพินิจของแพทย์
ข้อเสีย ทำให้เกิดอาการบวมช้ำได้มากกว่าการผ่าตัดแบบไร้แผล และอาจเห็นรอยแผลเป็นได้เล็กน้อย

ระหว่างผ่าตัดถุงใต้ตา VS ฟิลเลอร์ใต้ตา เลือกวิธีไหนดี

ระหว่างผ่าตัดถุงใต้ตา VS ฟิลเลอร์ใต้ตา เลือกวิธีไหนดี

แม้ว่าหัตถการทั้งสองรูปแบบจะถูกนำมาใช้ในการแก้ถุงใต้ตาบวมเหมือนกัน แต่การพิจารณาวิธีที่ใช้ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความรุนแรงของอาการ อายุของผู้เข้ารับการรักษา ความพร้อมในเรื่องของระยะเวลาในการพักฟื้น และความต้องการผลลัพธ์แบบชั่วคราว หรือแบบถาวร

โดยการใช้ฟิลเลอร์ในการแก้ปัญหาใต้ตาบวม ไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุ เพราะเป็นเพียงการใช้สารเติมเต็มเข้าไปช่วยอำพรางให้ถุงไขมันใต้ดวงตาดูตื้นขึ้นเท่านั้น และไม่ได้ให้ผลลัพธ์แบบถาวร แต่มีข้อดีที่เห็นผลลัพธ์ในทันทีหลังทำ ไม่บวมช้ำ ไม่ต้องพักฟื้น เหมาะสำหรับผู้ที่อายุยังน้อย และอาจมีปัญหาความหย่อนคล้อยไม่มาก

ในขณะเดียวกัน การผ่าตัดถุงใต้ตา เป็นการแก้ปัญหาถุงใต้ตาบวมที่ต้นเหตุของอาการ และให้ผลลัพธ์แบบถาวร เหมาะสำหรับผู้ที่ปัญหาความหย่อนคล้อยรอบดวงตาเยอะ และมีเวลาในการพักฟื้นหลังผ่าตัด เพราะเป็นศัลยกรรมที่ต้องมีการเปิดแผล และยังต้องใช้เวลาฟื้นก่อนที่แผลจะเข้าที่ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการผ่าตัดถุงใต้ตา

หลายคนยังคงมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการผ่าตัดถุงใต้ตา ซึ่งทำให้เกิดความลังเล หรือความกังวลในการเข้ารับการรักษาถุงใต้ตาบวมด้วยการผ่าตัด โดยเรื่องที่ผู้คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการผ่าตัดถุงใต้ตา ได้แก่

ทำแล้วรอยตีนกาหาย รอยตีนกาเป็นริ้วรอยบริเวณหางตา ที่เกิดขึ้นจากการแสดงสีหน้า และอารมณ์ ซึ่งเป็นคนละบริเวณกับเปลือกตาล่าง และสามารถทำการรักษาได้โดยการฉีดโบท็อกซ์
ทำให้ตาแบะ แม้ว่าอาการตาแบะจะเป็นอาการไม่พึงประสงค์ที่สามารถเกิดขึ้นได้หลังจากการผ่าตัดถุงใต้ตา แต่ความชำนาญ และประสบการณ์ของศัลยแพทย์ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
ทำแล้วใต้ตาตึง ริ้วรอยหายเกลี้ยง ถึงแม้ว่าศัลยแพทย์จะทำการเย็บกระชับแผล และตัดไขมันส่วนเกินออกหลังจากการผ่าตัดถุงใต้ตา แต่ว่าผิวหนังของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป การผ่าตัดถุงใต้ตาเป็นการรักษาปัญหาเฉพาะจุด และไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อยทั่วทั้งใบหน้า

ขั้นตอนการผ่าตัดถุงใต้ตา

การผ่าตัดถุงใต้ตาเป็นการผ่าตัดเล็กที่ใช้เวลาเพียง 60 นาที โดยมีขั้นตอนในการทำ ดังนี้

ผู้เข้ารับการผ่าตัดถุงใต้ตาทำการล้างหน้า และทำความสะอาดผิวหน้าก่อนการผ่าตัด
ศัลยแพทย์ทำการมาร์กตำแหน่งของถุงใต้ตา และร่องน้ำตาที่จะทำการจัดเรียงไขมัน
ศัลยแพทย์ทำการฉีดยาชาไปยังตำแหน่งผ่าตัด และรอประมาณ 15 นาที เพื่อให้ยาชาออกฤทธิ์เต็มที่
ศัลยแพทย์ใช้มีดผ่าตัดที่มีความคมพิเศษในการเปิดแผลบริเวณขอบขนตาล่าง
ศัลยแพทย์ทำการตัดไขมัน และกล้ามเนื้อส่วนเกินออก พร้อมทำการเย็บกระชับผิวหนังบริเวณใต้ตา และใช้ไหมไนลอนเส้นเล็กพิเศษเย็บปิดแผลตามแนวขอบขนตาล่าง เพื่อการซ่อนรอยแผลอย่างเรียบเนียน
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการผ่าตัดถุงใต้ตา ผู้เข้ารับการรักษาจะได้รับคำแนะนำในการใช้ยา และการดูแลตัวเองจากผู้ช่วย เพื่อให้สามารถดูแลตนเองในระหว่างพักฟื้นได้อย่างถูกวิธี

การเตรียมตัวก่อน และหลังผ่าตัดแก้ไขถุงใต้ตา

สำหรับผู้ที่สนใจเข้ารับการผ่าตัดแก้ถุงใต้ตา ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเตรียมตัว และการดูแลตัวเองทั้งก่อน และหลังผ่าตัด เพื่อช่วยลดโอกาสในการเกิดผลข้างเคียง และอาการไม่พึงประสงค์ รวมทั้งควรศึกษาถึงภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้เข้าใจถึงความเสี่ยงก่อนเข้ารับการผ่าตัดถุงใต้ตา ซึ่งมีข้อควรรู้ดังนี้

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดถุงใต้ตา

ก่อนเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษาถุงใต้ตาควรปฏิบัติดังนี้

หากมีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิต เบาหวาน โรคหัวใจ หรือมียาที่ต้องทานเป็นประจำ ควรทำการแจ้งศัลยแพทย์ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
งดทานวิตามิน และอาหารเสริม ก่อนเข้ารับการผ่าตัดถุงใต้ตาประมาณ 2 สัปดาห์ โดยเฉพาะวิตามิน C วิตามิน E และน้ำมันตับปลา
งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ ก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์
ไม่ควรแต่งหน้า หรือติดขนตาปลอม และงดสวมใส่คอนแทคเลนส์ในวันผ่าตัด
เตรียมแว่นกันแดดให้พร้อม เพื่อใช้สวมหลังการผ่าตัดถุงใต้ตา
ควรหาคนช่วยขับรถกลับบ้านหลังการผ่าตัด
ควรทำการลางานล่วงหน้า เพื่อจะได้มีเวลาพักฟื้นได้เต็มที่

การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดถุงใต้ตา

หลังเข้ารับการผ่าตัดเพื่อแก้ถุงใต้ตาบวม ควรดูแลตัวเองด้วยวิธีการดังนี้

ภายใน 3 วันหลังการผ่าตัด ใช้ผ้าสะอาดห่อแผ่นเจลเย็น และประคบที่บริเวณดวงตาเพื่อลดอาการบวม หากมีเลือดออกให้ใช้ผ้าก๊อซพันแผลซับเบาๆ จนกว่าจะแห้ง
ทำความสะอาดแผลอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำเกลือแล้วเช็ดทำความสะอาดเบาๆ และซับแผลให้แห้งทุกครั้งด้วยผ้าสะอาด
ห้ามให้แผลเปียกน้ำจนกว่าจะถึงวันตัดไหม โดยส่วนใหญ่มักใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ หลังการผ่าตัดถุงใต้ตา
งดออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกไปโดนแผล
ทานยาตามคำแนะนำของแพทย์ ควรทานยาฆ่าเชื้อให้ครบ และใช้ยาแก้ปวดเมื่อมีอาการปวด

ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการผ่าตัดถุงใต้ตา

ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด หรือได้รับการผ่าตัดโดยผู้ที่ขาดความชำนาญ ภาวะแทรกซ้อนที่สามารถเกิดขึ้นหลังการผ่าตัดถุงใต้ตาที่สามารถสังเกตได้มีดังนี้

เปลือกตาแบะ ตาหลับไม่สนิท เกิดจากการตัดผิวหนังส่วนเกินบริเวณถุงใต้ตาออกมากเกินไป โดยไม่ได้ทำการเย็บกระชับเอ็นตาล่างเข้าไปด้วย ทำให้เปลือกตาล่างแบะออก นอกจากดูไม่สวยงามแล้ว ยังเสี่ยงต่อการระคายเคืองมากขึ้นด้วย
ผิวหนังบริเวณใต้ตาเกิดรอยขรุขระ สามารถเกิดขึ้นได้ในกรณีที่เอาไขมันจากถุงใต้ตาออกมาด้วยวิธีที่ไม่เหมาะสม หรือขาดความชำนาญ จะทำให้ผิวบริเวณใต้ตาเป็นคลื่น และไม่เรียบเนียน
เห็นรอยซ่อนแผลชัดเจน โดยปกติแล้วศัลยแพทย์จะทำการซ่อนรอยเย็บของแผลไว้ที่บริเวณขอบขนตาล่างเพื่อให้สังเกตเห็นได้ยาก แต่หากทำได้ไม่สมบูรณ์ก็จะทำให้เห็นรอยแผลได้ชัดเจน เกิดเป็นริ้วรอยที่เพิ่มขึ้นที่บริเวณเปลือกตาล่าง

การดูแล และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาถุงใต้ตา

การดูแล และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาถุงใต้ตา

ปัญหาถุงใต้ตาบวมที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์ สามารถป้องกัน หรือชะลอการเกิดถุงใต้ตา โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตด้วยวิธีการดังนี้

หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความแข็งแรง และชะลอการเสื่อมสลายของมวลกล้ามเนื้อที่ลดลงตามวัย
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้มีเวลาในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และทำให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน หลีกเลี่ยง หรือลดอาหารที่มีโซเดียมสูง เนื่องจากทำให้เกิดอาการบวมน้ำ และทำให้ใต้ตาดูบวมได้
ใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ รังสี UV ทำให้คอลลาเจนใต้ผิวหนังเสื่อมสภาพ ส่งผลให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้น และเกิดรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย และเพิ่มโอกาสที่ทำให้เกิดถุงใต้ตาบวมได้มากขึ้น
นวดบริเวณเปลือกตาด้วย Eye Cream เพื่อเสริมความชุ่มชื้น และความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อรอบๆ ดวงตา และช่วยทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดในบริเวณใต้ตาดีขึ้นอีกด้วย

ทำไมต้องแก้ไขปัญหาถุงใต้ตากับ Dr. Vii Clinic

Dr.Vill Aesthetic Clinic มีจุดแข็งที่ดีกว่าคลินิกอื่นในหลายๆ ด้าน ดังนี้

คลินิกได้มาตรฐานตามกระทรวงสาธารณสุข
ประเมินและผ่าตัดโดยแพทย์ทุกเคส
คุณหมอวิมีความชำนาญและประสบการณ์กว่า 10 ปี
เทคนิคพิเศษเฉพาะคุณหมอวิ Eye Reconstruction ปรับตาสวยครบทุกมิติ
มีการศึกษาเทคนิคการศัลยกรรมที่ต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
คุณหมอวิ ได้รับรางวัล หมอทำตาสองชั้น แก้ตาตก ที่สุดแห่งปี 2022 จาก Wongnai Beauty
รับประกัน 2 ปี ฟรี
ฉีดแผลเป็นคีลอยด์รักษาฟรี ไม่จำกัดจำนวนครั้ง
มีทีมติดตามอาการและให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง ผ่าน LINE Official Account หลังการผ่าตัด
รับจำกัดเพียงวันละ 3 เคสเท่านั้น เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด
สามารถส่งภาพประเมินได้หลายช่องทาง Our Social Media
ชมรีวิวจริง https://drviiclinic.com/reviews

สรุป

ปัญหาถุงใต้ตาบวม เป็นปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุจากกรรมพันธุ์ อายุที่เพิ่มมากขึ้น อาการแพ้ หรือระคายเคืองบริเวณรอบดวงตาก็ตาม ซึ่งวิธีในการรักษาถุงใต้ตาก็แบ่งออกเป็น 3 วิธีหลัก คือ วิธีลดถุงใต้ตาแบบธรรมชาติ การใช้สารเติมเต็ม และการผ่าตัดลดถุงใต้ตา โดยแต่ละวิธีก็มีข้อดีแตกต่างกันออกไป ตามความเหมาะสมของปัญหาถุงใต้ตาบวมในแต่ละรูปแบบ

สำหรับผู้ที่สนใจเข้ารับคำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาถุงใต้ตาบวม Dr.Vii Aesthetic Clinic มีบริการปรึกษาผ่านทางโทรศัพท์ หรือทางโซเชียลมีเดียของคลินิกทุกช่องทาง อย่าปล่อยให้ปัญหาถุงใต้ตามาทำลายความมั่นใจ มาย้อนวัย และคืนความสดใสให้กับดวงตาได้ที่ Dr.Vii Aesthetic Clinic

ถุงใต้ตาบวม วิธีลดถุงใต้ตา ทำได้อย่างไร เลือกรักษาที่ไหนดี?